ถ้าใครเคยยืนงงอยู่หน้าชั้นวางเลื่อยไฟฟ้าในร้านเครื่องมือช่าง จะเข้าใจดีเลยครับว่าความหลากหลายของมันนั้นไม่ใช่เล่น ๆ ทั้งเลื่อยวงเดือน เลื่อยจิ๊กซอว์ เลื่อยสายพาน แถมยังมีแบบมีสาย ไร้สาย หรือแบบใช้ร่วมกับเครื่องดูดฝุ่นอีก พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่เคยใช้งานมาก่อน บอกเลยว่าเลือกผิด ใช้งานไม่ตรง สุดท้ายต้องซื้อเพิ่มอยู่ดี
ผมเองก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้นมาเหมือนกันครับ มือใหม่ตอนเริ่มต้นก็เลือกจากราคากับหน้าตาเครื่องเป็นหลัก พอเอามาใช้จริงกลับพบว่าแรงไม่พอ ตัดเบี้ยว ใช้ลำบาก แล้วก็ต้องเสียเงินอีกรอบเพื่อซื้อใหม่ให้ตรงกับงานที่ทำจริง ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะซื้อเลื่อยไฟฟ้าชิ้นแรก หรืออยากอัปเกรดจากรุ่นเดิม บทความนี้น่าจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
เพราะฉะนั้น เราจะมารวบรวมเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเลือกเลื่อยไฟฟ้าให้เหมาะกับงานที่คุณทำ พร้อมกับรายการของที่ควรมีติดไว้ เพื่อให้งานของคุณ นั้น ลื่นไหล ไม่สะดุดกลางคัน ไม่ว่าจะเป็นสายงานช่างไม้ ช่างเหล็ก หรือสาย DIY ทำงานบ้าน และที่สำคัญคือช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินหลายรอบแบบที่ผมเคยเจอครับ
เริ่มจากการเข้าใจก่อน ว่า เลื่อยไฟฟ้า มีแบบไหนบ้าง
เวลาคุยกันเรื่องเลื่อยไฟฟ้าหลัก ๆ สำหรับงานช่างทั่ว ๆ ไป แล้วเนี่ย หลายคนมักจะนึกถึงแค่เลื่อยวงเดือน หรือเลื่อยองศา แต่จริง ๆ แล้วมันมีอีกหลายแบบมากครับ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่น จุดด้อย และงานเฉพาะทางของตัวเอง ดังนั้นก่อนจะไปถึงขั้นเลือกซื้อ ผมว่าเราควรเข้าใจก่อนว่าเลื่อยไฟฟ้าแต่ละชนิดนั้นใช้เพื่ออะไร ใช้แบบไหนถึงจะตรงกับสิ่งที่เราต้องการ
บางเครื่องอาจเหมาะกับการตัดไม้ตรง ๆ บางเครื่องเน้นตัดโค้ง บางแบบตัดเหล็กได้สบาย ๆ และบางเครื่องก็ไว้ใช้ในพื้นที่จำกัดโดยเฉพาะ ผมขอพาไล่ไปทีละประเภท พื่อให้คุณเห็นภาพรวมทั้งหมดก่อนตัดสินใจเลือกครับ
- เลื่อยจิ๊กซอว์: เหมาะกับการตัดโค้ง ตัดไม้บาง ใช้งานง่าย พกสะดวก เหมาะกับงาน DIY และผู้เริ่มต้น
- เลื่อยชัก: ใช้งานได้เร็ว ตัดวัสดุหลากหลายโดยไม่ต้องแม่นยำมาก เหมาะกับงานรื้อถอนหรือพื้นที่แคบ
- เลื่อยองศา: เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ ต้องการความแม่นยำในการตัดมุมซ้ำ ๆ ทำงานได้เนี๊ยบ เป๊ะทุกองศา
- เลื่อยสายพาน: ใช้ตัดไม้หนา ๆ หรือรูปทรงพิเศษ มีพื้นที่ตั้งเครื่อง ใช้ในงานไม้จริงจัง หรือโปรเจกต์เฉพาะทาง และมีแบบพกพา ที่เหมาะกับงานตัดโลหะ ใช้ใบเลื่อยเฉพาะเช่นกัน
- เลื่อยวงเดือน: เร็ว แรง ตัดไม้แผ่นใหญ่ได้ดี เหมาะกับงานก่อสร้าง โต๊ะ ชั้นวาง งานตัดยาวที่เน้นความตรง
จะเลือก เลื่อยไฟฟ้า ยังไงให้เหมาะกับงาน?
ตรงนี้คือช่วงที่หลายคนเริ่มลังเลที่สุดครับ เพราะพอได้รู้จักเลื่อยไฟฟ้าหลาย ๆ แบบแล้ว คำถามต่อมาคือ “แล้วแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด?” บางคนอาจมีงบจำกัด บางคนเน้นใช้งานในบ้าน บางคนอยากได้เครื่องมือที่พอใช้ได้กับหลายวัสดุ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีคำตอบตายตัวครับ แต่ถ้าเราถามตัวเองให้ชัดในไม่กี่เรื่อง ก็จะช่วยให้ตัดตัวเลือกบางอย่างออกไปได้ง่ายขึ้น และเหลือแต่ตัวที่ตรงกับงานของเราจริง ๆ
ผมเลยอยากชวนคุณลองมองเลื่อยไฟฟ้าแบบเดียวกับที่เรามอง รถยนต์ นั่นแหละครับ รถบางคันแรงแต่กินน้ำมัน บางคันช้าแต่ขับง่าย สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาไปใช้งานแบบไหน ไม่ใช่แค่รุ่นไหนดีสุดในกระแสตอนนั้น
1. ดูจากประเภทของวัสดุที่ใช้ตัด
ก่อนจะเลือกเลื่อยสักตัว ลองมองย้อนดูประเภทงานที่เราทำอยู่จริง ๆ ครับ หลายคนเจอปัญหาว่าเลื่อยที่ซื้อมาไม่ตอบโจทย์ เพราะไม่ได้คิดจากงานที่ทำเป็นหลัก แต่เลือกจากราคา หรือรีวิวแทน ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะครับ แต่ถ้าจะให้ใช้แล้วคุ้มค่า และปลอดภัย การเลือกให้เหมาะกับประเภทวัสดุที่ตัดเป็นเรื่องสำคัญมาก
- ถ้าคุณตัดไม้บ่อย เลื่อยวงเดือน และเลื่อยองศาน่าจะตอบโจทย์
- ถ้าเน้นโค้ง และลาย เลือกเลื่อยจิ๊กซอว์
- ถ้าเน้นเหล็กหรือท่อ ควรมีเลื่อยชัก เลื่อยสายพานตัดเหล็ก หรือเครื่องตัดเฉพาะทางร่วมด้วย
2. ความถี่ในการใช้งาน
การดูว่าเราใช้จะเลื่อยไฟฟ้าตัวที่เลือกบ่อยแค่ไหน ก็เป็นปัจจัยสำคัญเหมือนกันครับ เพราะเครื่องมือช่างมันก็เหมือนรองเท้า ถ้าเดินทุกวันก็ควรเลือกคู่ที่ใส่สบาย ทนทาน แต่ถ้าใส่แค่เวลาออกงานปีละไม่กี่ครั้ง จะเลือกแบบกลาง ๆ ที่พอใช้งานได้ก็ไม่ผิดอะไร และไม่เปลืองงบด้วย
- ถ้าใช้บ่อยแนะนำเลือกของดีไปเลยในครั้งเดียว เพราะความคุ้มค่าจะอยู่ที่ความทน ไม่ต้องซ่อมบ่อย
- ใช้ปีละไม่กี่ครั้ง เลือกแบบกลาง ๆ ไม่ต้องแรงสุดก็ได้ แค่ขอให้ปลอดภัย
3. พื้นที่ทำงานมีผลไหม?
เรื่องพื้นที่ทำงานนี่เป็นเรื่องที่หลายคนอาจมอง แต่มันมีผลกับการเลือกเลื่อยไฟฟ้าไม่น้อยเลย เพราะถ้าเรามีพื้นที่จำกัด เช่น ทำในห้องเก็บของ หรือห้องเล็ก ๆ การจะใช้เครื่องใหญ่ ๆ ที่ต้องตั้งพื้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ผมมองว่าเรื่องนี้ควรคิดพร้อมกับขั้นตอนวางแผนพื้นที่ใช้งานด้วยจะดีที่สุดครับ
- ถ้าทำงานในห้อง หรือพื้นที่จำกัด เลื่อยไร้สายคือทางรอด
- ถ้ามีโต๊ะทำงานใหญ่ มีที่ตั้งเครื่องได้ ก็ลองมองเลื่อยสายพานตั้งโต๊ะ หรือเลื่อยองศาใหญ่ ๆ ไปเลยครับ
ของที่ “ต้องมี” ร่วมกับเลื่อยไฟฟ้าแต่ละประเภท
ก่อนจะเริ่มงานจริง ๆ กับเลื่อยไฟฟ้าแต่ละประเภท สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนคิดไว้เลยก็คือ เลื่อยอย่างเดียวไม่พอครับ เพราะเครื่องมือจะดีแค่ไหน ถ้าไม่มีอะไรมาเสริมที่ช่วยให้ปลอดภัย และทำงานได้ลื่นไหล งานก็อาจจะออกมาไม่ดี หรือบางครั้งอาจเกิดอันตรายได้ง่าย ๆ เลยด้วยครับ ผมเลยรวบรวมของที่ควรมีควบคู่กับเลื่อยแต่ละประเภทไว้ให้ เผื่อจะได้เตรียมพร้อมไว้ก่อน ไม่ต้องเสียเวลาหาซื้อทีหลัง หรือทำงานสะดุดกลางคัน
1. อุปกรณ์ความปลอดภัย จำเป็นสุดๆ
พูดถึงเลื่อยไฟฟ้าแล้ว สิ่งที่ผมอยากเน้นให้เป็นอันดับแรกเสมอคือเรื่องความปลอดภัยครับ เพราะต่อให้เรามีทักษะแค่ไหน ถ้าใช้งานโดยไม่ระวัง หรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันพื้นฐาน ก็อาจเกิดอันตรายได้ง่าย ๆ ยิ่งเวลาทำงานคนเดียวที่บ้าน ไม่มีใครช่วยดู หรือเตือน เลยอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับสิ่งพวกนี้ไว้ตั้งแต่เริ่มใช้งาน
ไม่ว่าจะเป็นเลื่อยวงเดือน เลื่อยจิ๊กซอว์ หรือเลื่อยชักที่ดูใช้งานเร็ว ก็ล้วนมีโอกาสพลาดได้ทั้งนั้นครับ หลายคนก็มีรอยแผลให้จำมาแล้ว เพราะคิดว่าแค่ตัดไม้นิดเดียว ไม่ต้องใส่แว่นก็ได้ สุดท้ายเศษไม้กระเด็นเข้าเปลือกตา โชคดีที่ไม่ถึงขั้นร้ายแรง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับค่ารักษา และเจ็บตัว อุปกรณ์ความปลอดภัยนี่แหละครับที่จำเป็นสุด ๆ
- แว่นตานิรภัย: กันเศษไม้ เศษเหล็กที่ปลิวมาเข้าตา
- ถุงมือกันบาด: ช่วยลดแรงกระแทก และกันบาด
- หน้ากากกันฝุ่น: โดยเฉพาะเวลาใช้กับไม้ MDF
2. อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้การตัดแม่นยำขึ้น
หลายครั้งที่เราตัดงานแล้วรู้สึกว่ามันไม่เป๊ะ ทั้งที่วัดดีแล้ว จับแน่นแล้ว ปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากฝีมือหรอกครับ แต่มาจากสภาพแวดล้อม และอุปกรณ์ที่ยังไม่ครบ เพราะเลื่อยไฟฟ้าแต่ละประเภท ถึงแม้จะมีความเร็ว และแรง ถ้าไม่มีตัวช่วยที่คอยบังคับทิศทาง หรือประคองชิ้นงานให้นิ่ง การตัดก็จะเบี้ยว หรือคลาดเคลื่อนได้ง่ายมาก ๆ ยิ่งถ้าเป็นงานที่ต้องตัดซ้ำหลายชิ้นให้ขนาดเท่ากัน เรื่องนี้ยิ่งสำคัญใหญ่เลยครับ
การลงทุนกับของเสริมเล็ก ๆ อย่างรางนำ หรือโต๊ะดี ๆ จะช่วยให้การตัดแม่นยำขึ้นแบบรู้สึกได้ทันที ไม่ต้องมานั่งขัดไม้แก้เบี้ยวภายหลัง หรือเสียชิ้นงานไป และที่สำคัญ มันช่วยให้เราทำงานได้ไวขึ้นด้วยครับ เพราะไม่ต้องเสียเวลากะตาเองทุกครั้ง
- รางสไลด์นำ สำหรับเลื่อยวงเดือน
- โต๊ะจับงาน หรือเวิร์กเบนช์แบบพับได้
- ปากกาจับไม้ ช่วยล็อกงานให้แน่น ตัดไม่ส่าย
3. อุปกรณ์บำรุงและเปลี่ยนใบเลื่อย
เลื่อยไฟฟ้าแต่ละแบบ แม้จะแข็งแรงแค่ไหน ก็ต้องต้องดูแลบำรุงกันบ้างครับ โดยเฉพาะเรื่องใบเลื่อย ซึ่งเป็นหัวใจของการตัด ใบทื่อ ใบสกปรก หรือเริ่มสึกหรอ ประสิทธิภาพของเครื่องจะลดลงอย่างชัดเจน แถมยังเปลืองแรง และเสี่ยงต่อความปลอดภัยด้วย เพราะงั้นการมีอุปกรณ์ที่ช่วยดูแลหรือเปลี่ยนใบได้สะดวก จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ
- น้ำยาทำความสะอาดใบเลื่อย
- ชุดเปลี่ยนใบพร้อมประแจ
- ถ้าใช้เลื่อยไร้สาย ควรมีแบตสำรองไว้อย่างน้อย 1 ก้อน
สายงานช่างแต่ละประเภท ควรมีเลื่อยแบบไหน?
เลื่อยไฟฟ้ามีดีไม่เหมือนกันครับ เหมือนกับเครื่องมือเฉพาะทางในแต่ละอาชีพ จะให้ช่างไม้ใช้เลื่อยชัก หรือให้ช่างเหล็กใช้เลื่อยจิ๊กซอว์เป็นหลักก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะเท่าไหร่ เพราะแม้จะใช้ได้ในบางกรณี ประสิทธิภาพ ความเร็ว และความปลอดภัยก็จะลดลง ดังนั้นผมว่าการเลือกเลื่อยให้เหมาะกับสายงานจึงเป็นเรื่องที่ควรวางแผนตั้งแต่ต้น เพื่อให้ทำงานได้สบายมือ ประหยัดเวลา และไม่เสียเงินเปล่าจากการซื้อของผิด
1. สาย DIY และงานบ้านทั่วไป
กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลยครับ เพราะเป็นคนที่อยากทำงานไม้เล็ก ๆ ซ่อมสิ่งของในบ้าน หรือลองทำโปรเจกต์ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เลื่อยไฟฟ้าที่แนะนำสำหรับสายนี้ไม่จำเป็นต้องแรง หรือใหญ่เกินไป เอาแค่ใช้งานง่าย พกสะดวก และปลอดภัยก็เพียงพอครับ ที่สำคัญคือไม่ต้องลงทุนเยอะตั้งแต่แรก เพราะส่วนใหญ่จะใช้งานเป็นครั้งคราว ไม่ได้ใช้งานหนักแบบมืออาชีพ
- เลื่อยวงเดือนใบกลาง + เลื่อยจิ๊กซอว์
- โต๊ะจับงานเล็ก ๆ ก็พอแล้ว
- มีอุปกรณ์ความปลอดภัยครบ ก็ทำงานได้เลย
2. ช่างไม้กึ่งอาชีพ
สำหรับคนที่ทำงานไม้เป็นประจำ หรือทำเป็นงานเสริมผมว่ากลุ่มนี้น่าจะอยากได้เครื่องมือที่ช่วยให้งานเร็วขึ้นแม่นยำขึ้น และรองรับงานที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย เลื่อยไฟฟ้าสำหรับกลุ่มนี้จึงควรขยับจากระดับเริ่มต้นมาใช้เครื่องที่ปรับมุมได้ ตัดซ้ำได้แม่น หรือรองรับไม้หนา ๆ ได้ดีครับ
- เพิ่มเลื่อยองศา หรือเลื่อยสายพานถ้ามีพื้นที่
- รางนำ+โต๊ะตัด ทำให้การตัดตรงเป๊ะขึ้น
3. ช่างเหล็ก
เลื่อยไฟฟ้าที่ใช้กับเหล็กต้องเลือกให้ถูกครับ เพราะถ้าใช้ใบตัดผิดประเภทนอกจากจะเสียใบแล้ว ยังอันตรายด้วย เครื่องหลักของสายนี้คือเลื่อยชักที่มีความคล่องตัวสูง แต่ถ้างานเน้นปริมาณ ตัดเหล็กเส้นหรือท่อจำนวนมาก ผมแนะนำให้ลงทุนกับเลื่อยสายพานเฉพาะทางสำหรับเหล็กจะปลอดภัย และประหยัดเวลากว่าครับ
- เลื่อยชักคือพระเอกของสายนี้
- ถ้าต้องตัดเยอะมาก ให้ขยับไปใช้เลื่อยสายพานแบบตัดเหล็กโดยเฉพาะ
- ใบเลื่อยควรเลือกแบบตัดเหล็กเท่านั้น อย่าปนกับใบตัดไม้
4. งานรื้อถอน
เลื่อยไฟฟ้าที่เหมาะกับสายนี้คือเลื่อยที่ใช้มือเดียวก็ได้ เข้าได้ทุกมุม และพกสะดวก ผมยกให้เลื่อยชักเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมันเร็ว แรง และตัดได้แทบทุกวัสดุ โดยเฉพาะเวลาเจอของเก่า ๆ ที่ต้องตัดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็น ไม้ เหล็ก พลาสติก หรือแม้แต่กระเบื้อง
- มีแค่เลื่อยชักกับแบตสำรองก็เอาอยู่
- ใช้ใบที่ฟันหยาบ ๆ จะตัดเร็ว ไม่ติด
สรุป
เลื่อยไฟฟ้ามีหลายแบบมากก็จริง แต่ถ้าคุณเข้าใจว่าตัวเองจะเอาไปใช้กับอะไร ใช้บ่อยแค่ไหน และมีพื้นที่กับงบประมาณแค่ไหน ก็เลือกได้ไม่ยากครับ อย่ารีบซื้อเพราะราคาลด หรือเห็นรีวิวบอกว่าดีแบบนั้นแบบนี้ เพราะบางทีของที่เหมาะกับคนอื่นอาจไม่ได้เหมาะกับเรา
ผมแนะนำว่าถ้าซื้อชิ้นแรก ยังไม่ต้องเอารุ่นท็อปสุด เอาแค่ที่ตัดได้ตรง ใช้งานได้ถนัด แล้วค่อย ๆ อัปเกรดตามความถี่ในการใช้งานจะดีกว่า ที่สำคัญคืออย่าลืมอุปกรณ์เสริมกับความปลอดภัย เพราะมันสำคัญพอ ๆ กับตัวเครื่องเลื่อยเลยครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณเลือกเลื่อยไฟฟ้าได้เหมาะกับงานที่คุณทำ และใช้งานได้คุ้มค่าไปอีกหลายปี